ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ
เมื่อวานนี้ผมได้รับเชิญไปบรรยาย การวางแผนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ ![]() ปัจจุบันประเทศมีการนำเข้าอุปกรณ์และระบบอัตโนมัติประมาณ 8-90,000 หมื่นล้านบาทต่อปี ทำให้ต้องมีการวางแผนการใช้เทคโนโลยีนี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเทคโนโลยี ผมมีมุมมองย้อนไปถึง ขั้นตอนการเลือกใช้เทคโนโลยีนี้ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายกัน เลือกผิดมีผลต่อเนื่อง ขั้นต่ำสุดคือเสียเงินทองแล้วได้ของไม่คุ้มค่า มีบางบริษัทรุนแรงถึงขั้นสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป ต้นทุนการสร้างอุปกรณ์อัตโนมัติเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 30% ค่าใช้จ่ายด้านบูรณาการให้เข้ากับกระบวนการผลิตเดิม 20%-30% และค่าเทคโนโลยี หรือบางท่านเรียกว่า ค่าโง่ อีกประมาณ 40% เราถูกมัดมือชกเพราะอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นกับการพัฒนาเทคโนโลยีเอง แต่อย่างน้อย ผมได้เห็นความพยายามของผู้บริหารหลายท่านในการลดต้นทุนโดยการมีส่วนร่วมในการเลือกใช้และการบูรณาการเทคโนโลยีเอง หากท่านขายของ 10 บาท ได้กำไร 1 บาท ผมคิดดื้อๆแบบไม่ไช่พ่อค้าว่า หากท่านประหยัดไป 1 บาท ก็เปรียบเสมือนได้เพิ่มยอดขายเท่าตัว ผมจึงต้องเรียนท่านผู้บริหารทั้งหลายไปว่า การคิดวางแผนเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบ้านเรามีบริษัทตัวแทนจำหน่ายมากที่เน้นและเก่งมากเรื่อง การขาย แต่ขาดการสนับสนุนทางเทคนิคหลังการขายทำให้เวลาอุปกรณ์ระบบมีปัญหา จึงได้แต่ขมีขมันว่ารีบแฟกซ์ไปถามทางญี่ปุ่นหรืออเมริกาให้ กว่าจะคุยกันรู้ต้นเหตุของปัญหาโดยยังไม่ได้แอ็กชั่นแก้ไข ก็เสียเวลาไปมากมายซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
แม้จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ แต่อย่างน้อยวิศวกรไทยควรเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแผนภูมิตรรกะและซีเควนซ์นี้ จนทำให้เราแก้ไขปัญหาพื้นๆได้เอง โดยมิต้องเสียเวลารอ และเสียค่าใช้จ่ายให้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาทำงานง่ายๆเหล่านี้ |
ผมเห็นว่าอุตสาหกรรมไทยนั้นหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีอัตโนมัติไม่ได้หากต้องการแข่งขันในตลาดโลก ระบบอัตโนมัติที่ใช้คงไม่ใช่ผลิตคราวละมากๆ แต่จะมีลักษณะที่ผลิตคราวละไม่มากเป็นแบบยืดหยุ่น แต่มีความหลากหลายในรูปลักษณ์ที่เกิดจากการผสมผสานการออกแบบเฉพาะในแต่ละครั้ง เพื่อตอบสนองตลาดที่สูงขึ้นกว่าการเน้นที่ราคาถูกอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์ไทยแม้มีความพยายามก็ไม่สามารถแทรกตัวเองในตลาดล่างที่เป็นของจีนและเวียดนาม
กรุณา อย่าเห่อ เห็นบริษัทอื่นใช้หุ่นยนต์ แล้วอยากใช้บ้าง ต้องสำรวจความต้องการว่าบริษัทเรามีความต้องการอย่างไรบ้าง? ในการผลิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องการขยายการผลิตในทิศทางใด? หากปริมาณการผลิตคราวละไม่มากมีออเดอร์ปีละหลายครั้ง หรือมีการผลิตมากขึ้นจะเป็นผสมผสานหลายๆผลิตภัณฑ์พร้อมๆกัน ความต้องการเช่นนี้แหละครับ ที่เหมาะสมควรประยุกต์ใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติแบบยืดหยุ่น บริษัทที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดหาและติดตั้งระบบนี้ ไม่อยากจ่าย ค่าเทคโนโลยี ควรต้องเตรียมบุคลากรที่มีความสามารถดังนี้: ชำนาญในการใช้ภาษา G-Code/M-Code ของเครื่องจักรควบคุมด้วยตัวเลขและคอมพิวเตอร์(NC/CNC Machines) วางแผนสถานที่ติดตั้ง วางแผนการผลิตและขบวนการผลิต การเขียนโปรแกรมพื้นฐาน การควบคุมคุณภาพ และการจัดการและบำรุงรักษาเครื่องมือ ระยะเวลาในการจัดหาและติดตั้งระบบนี้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี จากวันที่ท่านผู้บริหารได้ตัดสินใจว่าต้องใช้ระบบนี้แล้ว จากนั้นต้องมีเวลาเพิ่มเติมอีกประมาณ 6 เดือน เพื่อการปรับแต่งอย่างละเอียด จนกระทั่งระบบสามารถทำงานได้เต็มกำลังการผลิต หากระบบที่ติดตั้งนี้มาทดแทนระบบเดิมผลิตชิ้นงานที่คุ้นเคย การปรับแต่งระบบไม่ยุ่งยาก สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะมีปัญหาอะไรบ้าง แต่หากต้องไปผลิตชิ้นงานใหม่ การแก้ไขซอฟต์แวร์จะมีความยุ่งยากและใช้เวลาพอสมควร อย่างรีบเร่งในขั้นตอนนี้ จนเกิดภาวะ สุกเอาเผากิน เพราะจะทำให้ปัญหาแฝงตัวอยู่ จนทำให้ระบบไม่ผ่านกระบวนการ Commissioning and Shakedown คาราคาซัง ไม่เป็นผลดีทั้งบริษัทและผู้ขายอุปกรณ์ อีกอย่างผมได้เตือนท่านผู้บริหารทั้งหลายไปว่า ต้องทำรายละเอียดข้อกำหนดทางเทคนิคแบบสายกลาง อย่าเข้มหรืออ่อนเกินไป เพราะอาจทำให้งบประมาณบานปลายหรือไปยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ของผู้พัฒนาระบบ แต่ควรต้อง ระบุเชิงตัวเลข เลยว่าต้องการ ลดต้นทุนการผลิตของชิ้นส่วน แรงงาน leadtime ความยืดหยุ่นในการผลิต และของค้างในพื้นที่โรงงาน เท่าใด? อย่าเพ้อเจ้อว่า บริษัทใช้ระบบอัตโนมัติเพราะต้องการอยู่ในแนวหน้าของเทคโนโลยี ไม่มีความหมายอะไรมากหรอกครับ ผมอยู่กับเทคโนโลยีมาชั่วชีวิต ไม่มีอะไรวัด ความเป็น แนวหน้า หรอกครับ ท้ายที่สุดควรจัดตั้ง ทีมงาน เพื่อรับผิดชอบขั้นตอนรายละเอียดดังนี้ ๑. เลือกชิ้นงานเครื่องจักรสำหรับการใช้ระบบอัตโนมัติ ๒. ออกแบบความต้องการคร่าวๆ ๓. ประเมินความเหมาะสมของระบบที่มีอยู่ในท้องตลาด ๔. ระบุข้อกำหนดทางเทคนิคและเชิญชวนผู้พัฒนา/ผู้ขายเข้าประมูลงาน ๕. ให้คะแนนเอกสารข้อเสนอของแต่ละผู้ขาย เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจ ๖. ควบคุมการติดตั้ง รวมทั้ง commissioning ระบบ ตามข้อกำหนด ๗. แผนการใช้งานและการบำรุงรักษา บางครั้งอย่ายึดถือสิ่งที่ฝรั่งเขียนมามากจนเกินไป ต้องเน้นที่ผลลัพธ์ ผมไปได้เดินเล่นที่ ถนนข้าวสาร มาเมื่อวันก่อน แม้สถานที่มีเรียบร้อย แต่ในความไม่เรียบร้อยนั้นก็มีเสน่ห์ยิ่ง ขยะของจริงมองให้ดีก็มีศิลปะ เห็นนักท่องเที่ยวมากมาย ธุรกิจรากหญ้าเยอะแยะ เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่ผมต้องไปอยู่บ่อยๆ มีระเบียบมากจนไม่มีวิญญาณ เป็นของปลอมที่ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าใดนัก เทคโนโลยีก็เหมือนกัน ผมอยากให้เน้นผลลัพธ์ของการใช้ มิใช่ยึดถือการมีเทคโนโลยีแต่เพียงเปลือกนอก ท่านผู้อ่านสามารถส่งข้อคิดเห็น/เสนอแนะมาที่ผู้เขียนที่ djitt@fibo.kmutt.ac.th—————————————————————————————— ข้อมูลจำเพาะของผู้เขียน ดร. ชิต เหล่าวัฒนา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ไดัรับทุนมอนบูโช รัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาและทำวิจัยด้านหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนฟุลไบรท์ และจากบริษัท AT&T ได้รับประกาศนียบัตรด้านการจัดการเทคโนโลยีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซสต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา ภายหลังจบการศึกษา ดร. ชิต ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม ฟีโบ้ (FIBO) เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี เพื่อทำงานวิจัยพื้นฐาน และประยุกต์ด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และบริษัทข้ามชาติ (Multi-national companies) ในประเทศไทยด้านการลงทุนทางเทคโนโลยี การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติชั้นสูง และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ |