ควบคุมหุ่นยนต์จากคลื่นสมอง-ความคิดของมนุษย์(จบ)
ระหว่างที่คุณรวิโชติ ชโลธร ทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน เขาได้ค้นคิดและพัฒนาวิธีการที่ทำให้หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะเดินและเคลื่อนไหวแบบมนุษย์ ด้วยตัวของมันเอง |
วิธีการนี้แตกต่างกับวิธีการที่มีมาก่อนโดยเราไม่จำเป็นต้องทราบคุณลักษณะโดยละเอียดของหุ่นยนต์ในการที่จะใช้หุ่นยนต์เพื่อทำงานต่างๆ หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้ท่าทางและพฤติกรรมของเราได้ในลักษณะเดียวกับที่เด็กทารกหัดเดินและเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆจากผู้ใหญ่
และวิธีการนี้ก็มีจุดประสงค์ที่จะทำให้หุ่นยนต์มีความสามารถที่จะปรับพฤติกรรมตามสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่เหมือนกับคนเราที่สามารถทำได้อีกด้วย นักวิจัยส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากมาก ที่จะทำให้หุ่นยนต์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนเช่น หุ่นยนต์ที่มีโครงสร้างคล้ายมนุษย์ มีความสามารถที่จะเรียนรู้การเคลื่อนไหวของมนุษย์ด้วยตัวของมันเอง เพราะว่ามีตัวแปลจำนวนมากที่จะต้องคำนึงถึงและความสัมพันธ์ของตัวแปรเหล่านั้น ก็ยิ่งทำให้มันซับซ้อนขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่คุณรวิโชติมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปว่า ในแต่ละอากัปกิริยาที่เฉพาะเจาะจงของมนุษย์นั้น เราไม่ได้ควบคุมกล้ามเนื้อแต่ละชิ้นของเราเป็นชิ้นๆไป หากแต่ว่าเราควบคุมการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กันในแต่ละการกระทำ แขน ขา และส่วนต่างๆของร่างกายมักจะทำงานสัมพันธ์กันอย่างเป็นแบบแผน ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการจะเดินให้เร็วขึ้นเราจะก้าวเท้ายาวขึ้นและเร็วขึ้นโดยที่แขนของเราจะแกว่งสูงขึ้นและเร็วขึ้นไปตามขาของเราโดยอัตโนมัติ นี่แสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้วมีเพียงตัวแปรที่สำคัญเพียงไม่กี่ตัว ในการควบคุมการเคลื่อนไหวชิ้นส่วนในร่างกายทั้งหมดในแต่ละอากัปกิริยาต่างๆกันไป เมื่อเราสามารถวิเคราะห์หาเฉพาะตัวแปรที่สำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวแต่ละชนิดเราก็จะสามารถทำให้หุ่นยนต์เรียนรู้ที่จะปรับตัวแปรเพียงไม่กี่ตัวนี้ให้เข้ากับสัญญาณตอบรับที่มันรับรู้ได้ เช่น จากการมองเห็นจากกล้องของมันหรือจากเซ็นเซอร์อื่นๆในตัวมัน เป็นต้น การเรียนรู้การเคลื่อนไหวแบบพื้นฐานเหล่านี้จะสามารถนำมารวมกันเป็นอากัปกิริยาที่ซับซ้อนขึ้นของหุ่นยนต์ได้ คุณรวิโชติได้รวมวิธีการที่ทำให้หุ่นยนต์เรียนรู้โดยตัวของมันเองเข้ากับเทคนิคการวิเคราะห์คลื่นสมองที่ถูกต้องและแม่นยำของ ศาสตราจารย์ราโอในการแสดงผลงานวิจัยต่อสาธารณชนครั้งนี้ ศาสตราจารย์ราโอกล่าวต่ออีกว่าเมื่อเราใช้เทคนิคการวัดคลื่นสมองจากผิวศีรษะ เราจำเป็นที่จะต้องใช้หุ่นยนต์ที่มีความสามารถที่จะทำงานพื้นฐานโดยตัวของมันเองได้ เราเพียงแต่ใช้คลื่นสมองของมนุษย์ในการตัดสินใจที่มีความสำคัญเท่านั้น ในขณะที่มีอีกวิธีการหนึ่งที่จะสามารถวัดสัญญาณสมองได้รวดเร็วและแม่นยำกว่า แต่จำเป็นที่จะต้องวัดสัญญาณสมองจากพื้นผิวของสมองโดยตรง ซึ่งสามารถทำได้โดยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะและติดตั้งเซ็นเซอร์บนผิวของสมอง วิธีการนี้จะทำให้เราสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนกลข้างหนึ่งเหมือนกับแขนของเราจริงๆ ดังนั้นแขนกลพิเศษเหมือนอย่างของ มนุษย์ปลาหมึก ( Dr.Octopus ) ในหนังเรื่อง ไอ้แมงมุมภาคสอง นั้นจึงเป็นความฝันที่เป็นไปได้อย่างยิ่ง ผู้ร่วมทีมอีกคนหนึ่งของทีมนี้ซึ่งเป็นแพทย์ผ่าตัดสมองได้ทำการทดลองวัดคลื่นสมองจากพื้นผิวสมองโดยตรงกับคนไข้ของเขาซึ่งยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการทดลองเขาพบว่าคนไข้ของเขาสามารถควบคุมการเคลื่อนที่เคอร์เซอร์ของเมาท์บนจอคอมพิวเตอร์ราวกับว่าคนไข้ใช้มือข้างหนึ่งของคนไข้เลื่อนเมาท์เองเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการทดลองในลักษณะนี้กับมนุษย์ในปัจจุบันเป็นการหมิ่นเหม่ในด้านจริยธรรมเป็นอย่างยิ่ง งานวิจัยในลักษณะนี้จึงเป็นไปได้อย่างจำกัดซึ่งต่างกับการวัดสัญญาณสมองจากผิวหนังศีรษะซึ่งสามารถทำได้โดยกว้างขวาง |
ศาสตราจารย์ราโอ กล่าวปิดท้ายว่าพวกเราสามารถทำงานที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะว่าเราสามารถตั้งทีมวิจัยขึ้นมาได้จากผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญสูงมากในแต่ละแขนงที่แตกต่างกันได้ เรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้าน ประสาทวิทยา การผ่าตัดสมอง การวิเคราะห์สัญญาณที่มีความไวสูง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหุ่นยนต์และโปรแกรมเมอร์ที่มีความเก่งกาจ และแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านจะมีจุดประสงค์ในการร่วมงานนี้ต่างๆกัน เช่น คุณรวิโชติต้องการที่จะศึกษาการใช้สัญญาณสมองเพื่อที่จะเป็นภาษาสากลในการสื่อสารกับหุ่นยนต์ของเขา ในขณะที่ ไค มิลเลอร์ แพทย์ผ่าตัดสมองต้องการใช้ผลของการทดลองนี้ในการรักษาคนไข้ของเขาที่ป่วยเป็นอัมพาต อันเกิดมาจากความเสียหายของระบบประสาท คุณหมอมิลเลอร์สามารถพัฒนาใช้เทคนิคนี้ให้คนไข้ควบคุมแขนหรือขาเทียมได้ นี้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จของการทำงานเป็นทีมที่ดี
จนกระทั่งถึงทุกวันนี้สื่อมวลชนต่างๆเช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ข่าวต่างๆทั่วโลกได้นำเสนอข่าวการค้นพบที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้ รวมกระทั้งสถานีโทรทัศน์ในประเทศญี่ปุ่นก็นำเสนอข่าวนี้ด้วยเช่นกัน และนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผู้นำทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์อย่างญี่ปุ่นจะต้องดูข่าวเกี่ยวกับหุ่นยนต์จากประเทศอื่น และยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นักวิจัยชาวไทยได้มีส่วนสำคัญในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ คุณรวิโชติ คงเป็นเช่นเดียวกับเพื่อนผมหลายคนที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอนและสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซตต์ คนเหล่านี้เป็นคนเก่งและมีผลงานวิจัยออกมาดีและน่าตื่นเต้น จนมีหลายบริษัทเชื้อเชิญให้ไปทำงานหรือแม้กระทั่งออกจากการศึกษากลางคันเพื่อไปตั้งธุรกิจส่วนตัว ผมได้เตือนสติลูกศิษย์คนนี้ไปว่า เรื่องงานวิจัยและชื่อเสียง เขายังมีโอกาสในอนาคตอีกมากมาย ขอให้รีบกลับไปเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกให้เสร็จเรียบร้อย แล้วรีบกลับมาทำงานรับใช้บ้านเกิดเมืองนอนเถิด อย่าไป หลงยึดติด ความตื่นเต้น ความรู้ และวิชาการมากไปจนลืมเป้าหมายสำคัญในชีวิตที่แต่เดิมได้ตั้งใจไว้: ความรู้เปรียบเหมือนเรือไว้ใช้ข้าม |
——————————————————————————————
ข้อมูลจำเพาะของผู้เขียน
ดร. ชิต เหล่าวัฒนา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ไดัรับทุนมอนบูโช รัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาและทำวิจัยด้านหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนฟุลไบรท์ และจากบริษัท AT&T ได้รับประกาศนียบัตรด้านการจัดการเทคโนโลยีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซสต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา
ภายหลังจบการศึกษา ดร. ชิต ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม ฟีโบ้ (FIBO) เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี เพื่อทำงานวิจัยพื้นฐาน และประยุกต์ด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และบริษัทข้ามชาติ (Multi-national companies) ในประเทศไทยด้านการลงทุนทางเทคโนโลยี การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติชั้นสูง และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ