หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ใช้ทางการแพทย์ไทย - Institute of Field roBOtics (FIBO)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  • ไทย
    • อังกฤษ

หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ใช้ทางการแพทย์ไทย

logo robot brain

หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ใช้ทางการแพทย์ไทย

           นอกจากหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะมีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันหลายฝ่ายเริ่มเห็นคุณค่าและความสำคัญของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือในกระบวนการต่างๆทางการแพทย์มากขึ้น

 

robot141

ที่มา : หุ่นยนต์ดาวินชี่ ผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก โรงพยาบาลกรุงเทพ
รูปที่ 1 หุ่นยนต์ da Vinci ช่วยผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจและมะเร็งต่อมลูกหมาก

โดยโรงพยาบาลหลายโรงพยาบาลในประเทศไทยได้เริ่มมีการนำหุ่นยนต์มาใช้ช่วยในการผ่าตัดต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ da Vinci ซึ่งถูกนำมาใช้ในการช่วยผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจ และผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในโรงพยาบาลกรุงเทพและโรงพยาบาลศิริราช ดังรูปที่ 1 และหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและระบบ Laparoscope ที่ถูกนำมาใช้ช่วยในการผ่าตัดที่โรงพยาบาลปิยะเวท รวมถึงหุ่นยนต์แมวน้ำ Paro มาช่วยบำบัดเด็กออทิสติก ดังรูปที่ 2 โดยความร่วมมือขอเนคเทค ฟีโบ้ สถาบันราชานุกูล สถาบันสุขภาพเด็กมหาราชินี และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่  เป็นต้น โดยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเหล่านี้เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น และในปัจจุบันนี้ประเทศไทยต้องการเงินงบประมาณเพื่อนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อใช้งานทางการแพทย์เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งในหลายๆส่วนเป็นการสูญเสียเงินตราอย่างน่าเสียดาย เพราะระบบบางอย่างนั้นสามารถพัฒนาและต่อยอดจากงานวิจัยภายในประเทศได้

robot141-1
ที่มา : International Journal of Advanced Robotic Systems
รูปที่ 2 หุ่นยนต์แมวน้ำ Paro ช่วยบำบัดเด็กออทิสติก

ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นผู้นำการวิจัยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสำหรับใช้ทางการแพทย์แห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสาขาจำนวนหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยห้องปฏิบัติการดังต่อไปนี้
1. Center for Biomedical and Robotics Technology (BARTLAB)
สำนักงานเครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์
2. Functional Electrical Stimulation Lab (FES LAB)
หน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาสร้างระบบไฟฟ้าเพื่อสร้างสัญญาณกระตุ้น อวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์เพื่อช่วยผู้ป่วยอัมพาต
3. Intelligent Systems for Medicine (ISM LAB)
หน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจทางการแพทย์ โดยใช้ความรู้ทางปัญญาประดิษฐ์มาประมวลข้อมูลทางการแพทย์ มาช่วยในการวินิจฉัยของแพทย์

ประเทศไทยคงต้องใช้เงินงบประมาณเพื่อนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อใช้งานทางการแพทย์เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะโรงพยาบาลในประเทศหลายแห่งมีความตื่นตัวและเห็นความสำคัญของการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเป็นเครื่องมือช่วยแพทย์ในการผ่าตัดผู้ป่วยมากขึ้น หากรัฐบาลไทยต้องการลดการนำเข้าระบบหุ่นยนต์เหล่านี้จากต่างประเทศนั้นเพื่อป้องกันการสูญเสียเงินตราอย่างน่าเสียดาย จึงควรสนับสนุนการพัฒนาขึ้นใช้เองจากการต่อยอดจากงานวิจัยภายในประเทศได้ ผมเห็นว่ามหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านการพัฒนาและวิจัยทางด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสำหรับใช้ทางการแพทย์ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยมหิดลมีแผนการดำเนินงานในการพัฒนาระบบเพื่อนำไปใช้จริงในระยะ 4 ปีข้างหน้าเพื่อลดการนำเข้าระบบจากต่างประเทศดังต่อไปนี้

ภายใน 1 ปี
– ระบบนำทางช่วยในการผ่าตัด จะถูกนำไปทดสอบทางคลีนิค
– หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์  สำหรับการสอดแกนดามกระดูก จะถูกพัฒนาแล้วเสร็จ ด้วยความร่วมมือของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
– เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในร่างกายคนจะถูกใช้ในกรณีคนไข้เพื่อทดสอบทางคลีนิค ในกลุ่มของคนไข้บางประเภท เช่น คนอัมพาต เป็นต้น
– ระบบอัจฉริยะในการช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งถูกใช้งานจริง

ภายในปีที่ 2
– ระบบนำทางช่วยในการผ่าตัดจะถูกนำไปใช้จริงในโรงพยาบาล
– ระบบนำทางช่วยในการผ่าตัดจะถูกทำให้เป็นระบบทางพาณิชย์
– หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์ สำหรับการสอดแกนดามกระดูก ทดสอบทางคลีนิค
– เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในร่างกายคนจะถูกใช้ในกรณีคนไข้ถูกใช้จริง ในกลุ่มของคนไข้บางประเภท เช่น คนอัมพาต เป็นต้น

ภายในปีที่ 3
– หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์เพื่อผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ถูกผลิตแล้วเสร็จ เพื่อทดสอบทางคลีนิค
– ระบบนำทางช่วยในการผ่าตัดจะถูกนำไปสู่โอกาสเชิงพาณิชย์
– ถ่ายทอดเทคโนโลยีและเผยแพร่สู่ผู้ใช้และภาคอุตสาหกรรม

ภายในปีที่ 4
– หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์เพื่อผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ถูกผลิตแล้วเสร็จ เพื่อทดสอบทางคลีนิค
– ระบบนำทางช่วยในการผ่าตัดจะถูกนำไปสู่โอกาสเชิงพาณิชย์
– หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดทางลาปาโรสโคปถูกผลิตแล้วเสร็จ เพื่อทดสอบทางคลีนิค
– เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในร่างกายคนจะถูกใช้ในกรณีคนไข้ถูกใช้จริง ในกลุ่มของคนไข้บางประเภทอื่นๆ

นอกจากเรื่องการช่วยเหลือรักษาชีวิตมนุษย์เป็นเรื่อง “บุญกุศล” ที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งแล้ว  การสนับสนุนให้คนไทยสามารถปลดแอกทางเทคโนโลยีจากต่างชาติ จนกระทั่งคนไทยสามารถ “คิดเอง สร้างได้และใช้ดี” นั้น ผมถือว่าเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของชาติไทยเราครับ

ท่านผู้อ่านสามารถส่งข้อคิดเห็น/เสนอแนะมาที่ผู้เขียนที่ djitt@fibo.kmutt.ac.th


 

ข้อมูลจำเพาะของผู้เขียน

ดร. ชิต เหล่าวัฒนา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ไดัรับทุนมอนบูโช รัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาและทำวิจัยด้านหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนฟุลไบรท์ และจากบริษัท AT&T ได้รับประกาศนียบัตรด้านการจัดการเทคโนโลยีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซสต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา

djitt2

ภายหลังจบการศึกษา ดร. ชิต ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม “ฟีโบ้ (FIBO)” เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี เพื่อทำงานวิจัยพื้นฐาน และประยุกต์ด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และบริษัทข้ามชาติ (Multi-national companies) ในประเทศไทยด้านการลงทุนทางเทคโนโลยี  การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติชั้นสูง และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

Categories: บทความของ ดร. ชิต เหล่าวัฒนา