ระบบบริหารอาคาร

อาคารขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นมากมายในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่าน มีทั้ง โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า อาคารพาณิชย์ ตลอดจนหน่วยงานราชการขนาดใหญ่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ ศูนย์ราชการที่ถนนแจ้งวัฒนะ ก่อนหน้านี้ผมเคยได้กล่าวถึงการดูแลระบบวิศวกรรมต่างๆ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีสมรรถนะตามที่ออกแบบไว้ อีกทั้งเกิดการประหยัดพลังงานและรักษาไว้ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการอาคารมิได้ครอบคลุมเพียงแค่ระบบวิศวกรรมเหล่านี้(Facility Management) โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์ที่มีผู้เช่า (Tenants) และ ลูกค้าที่มาทำธุรกิจ/ธุรกรรม ที่อาคาร ดังนั้น จึงต้องมีระบบจัดการด้านทรัพย์สิน(Facility Management)และลูกค้าสัมพันธ์ |
![]() การใช้งานค่อนข้างสะดวก เพราะเป็น Web Based Application ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเจ้าของอาคารที่มีรหัสเข้า (Password) สามารถ login จากที่ไหนก็ได้ตราบเท่าที่มีบริการอินทราเน็ตให้ ปัจจุบันมีบริษัททั้งไทยและเทศให้บริการซอฟท์แวร์บริหารอาคารเหล่านี้ แต่ผมขอเตือนว่า ถ้าหากท่านเจ้าของอาคารเลือกได้ ขอให้ติดตั้ง Data Server ที่บันทึกข้อมูลทั้งหลายนี้ไว้ที่อาคารของท่านหรืออยู่ในความดูแลของท่าน ส่วนจะต่อกับ Web Server ที่ใดสามารถกระทำได้หลายแนวทาง ที่ผมเสนอเช่นนี้ก็เพราะว่า ข้อมูลของอาคารท่านเป็นสมบัติของท่าน หากตกไปอยู่กับผู้ประสงค์ร้ายหรือคู่แข่งทางธุรกิจ ท่านอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและเพลี่ยงพล้ำได้ นอกจากนี้ท่านควรเป็นหนึ่งในการกำหนดและเปลี่ยนแปลงรหัสเข้าระบบด้วยครับ ข้อมูลว่าใครได้ Login เข้ามาและเวลาใดบ้าง ก็มีความสำคัญยิ่งสำหรับการตรวจสอบในภายหลัง อีกประการหนึ่ง เจ้าของอาคาร (Landlord) ต้องการระบบสมองกลนี้ช่วยประมวลข้อมูลเชิงกลยุทธ์ จึงควรพิถีพิถันในการกำหนดความต้องการนี้กับบริษัทผู้ให้บริหารอาคารให้ท่าน มิฉะนั้นเขาอาจ มัวนิ่ม นำระบบที่บริษัทเขาต้องใช้ดำเนินการให้บริการท่านตามปกติทั่วๆ ไปและได้คิดค่าใช้จ่ายไปแล้ว มาเก็บเงิน(Double Charge)ท่านอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เราใช้วัดว่า ระบบสมองกลดังกล่าวทำในสิ่งที่ผมพูดถึงนั้นมีอยู่สามมิติคือ (1) สามารถประสานข้อมูลและพารามิเตอร์ ระหว่างกลุ่มข้อมูลทางด้านระบบเทคนิค ทรัพย์สิน และลูกค้าสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) และอย่างต่อเนื่อง (2) มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) และ (3) รายงานที่เกิดจากการประมวลข้อมูลปฐมภูมิเพื่อการตัดสินใจในเชิงนโยบาย ผมได้แนะนำซอฟท์แวร์สายพันธ์ต่างชาติที่มาบรรยายสรรพคุณผลิตภัณฑ์ของเขาให้ผมฟังว่า จำเป็นต้องสร้าง identity ของข้อมูลเพื่อให้เราโยงใยระหว่างกลุ่ม 3 กลุ่มข้างต้นได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อ Module ด้านลูกค้าสัมพันธ์ได้รับทราบคำร้องเรียนจากผู้เช่ารายย่อย (Tenants) เกี่ยวกับความเย็นของระบบปรับอากาศซ้ำๆกัน บ่อยเข้าระบบต้องมีสัญญาณชี้ให้เห็นว่าระบบบำรุงรักษาแบบป้องกัน (Preventive Maintenance) ที่ทำอยู่มีประสิทธิผลต่ำควรต้องปรับปรุงได้แล้ว และบอกว่าต้องปรับปรุงในรายการใดบ้าง ที่ทำได้ถึงระดับนี้เพราะในขั้นการพัฒนาซอฟท์แวร์และโครงสร้างข้อมูล ได้ถูก Identity ตราไว้เรียบร้อยแล้ว |
ระบบนี้ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ยังได้ต่อระบบจากจัดซื้อและจัดจ้างกับผู้ขายอุปกรณ์โดยตรงโดยมีการกำหนดราคากลางไว้ มีการประมวลผ่านระบบดิจิตอล จึงปลอดการ ฮั้ว กันของผู้ขายและบางรายการเช่น หลอดไฟฟ้า สามารถส่งของกันได้ภายในหนึ่งวัน ทำให้เราไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการสต๊อกอุปกรณ์มากนัก ตลอดจนลดงานกระดาษไปได้มากพอสมควร
ตัวอย่าง KPI ที่ใช้วัดสำหรับการบริหารจัดการคือ แนวโน้มราคาเฉลี่ยของค่าเช่าต่อตารางเมตร (Average Gross Rental Rate Trend) เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และราคาตลาดที่สอดคล้องกับสภาพอาคาร จนกำหนดกลยุทธ์ทางด้านราคาได้ นอกจากนี้ในระดับของดำเนินการต้องวัดเวลาเฉลี่ยที่เราเข้าไปแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้า น้ำไม่ไหล ไฟดับ แอร์ไม่เย็น ( Average Response Time for Call Handling) เรื่องบางเรื่องที่นักเทคโนโลยีอย่างผมไม่ค่อยสนใจ แต่กลับมีความสำคัญทางธุรกิจอาคารพาณิชย์คือ เรื่อง Lease & Marketing Management ที่ระบบนี้สามารถช่วยวิเคราะห์และทำให้เจ้าของได้ราคาสูงอย่างต่อเนื่องไม่ปล่อยให้มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้น เลือกผู้เช่าที่มีศักยภาพและสามารถ Close deal ได้ภายในระยะเวลาอันควร สนนราคาซอฟท์แวร์ที่กล่าวถึงนี้เป็นสัดส่วนน้อยมาก ไม่เกิน 0.001 ของราคาอาคารพาณิชย์ ผมเห็นว่ามีประโยชน์คุ้มราคาลงทุน หากต้องการประหยัดอีก ก็สามารถหาผู้พัฒนาซอฟท์ไทยทำขึ้นมาได้ ผมยินดีนั่งหารือและให้คะแนะนำว่าโครงสร้างข้อมูล (Data Structure) ควรมีหน้าตาเช่นไร น้องๆที่เรียนจบไอที หากอยากมีผลิตภัณฑ์ของตนเอง ลองมาพัฒนาซอฟต์แวร์นี้ดูครับ เอาแค่ขายให้เจ้าของอาคารในกรุงเทพฯ คงพอจะทำรายได้พอสมควรครับ |
——————————————————————————————
ข้อมูลจำเพาะของผู้เขียน
ดร. ชิต เหล่าวัฒนา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ไดัรับทุนมอนบูโช รัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาและทำวิจัยด้านหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนฟุลไบรท์ และจากบริษัท AT&T ได้รับประกาศนียบัตรด้านการจัดการเทคโนโลยีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซสต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา
ภายหลังจบการศึกษา ดร. ชิต ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม ฟีโบ้ (FIBO) เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี เพื่อทำงานวิจัยพื้นฐาน และประยุกต์ด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และบริษัทข้ามชาติ (Multi-national companies) ในประเทศไทยด้านการลงทุนทางเทคโนโลยี การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติชั้นสูง และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ