ป้องกันรถพ่วงไถลอย่างอัตโนมัติ - Institute of Field roBOtics (FIBO)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  • English
    • Thai

ป้องกันรถพ่วงไถลอย่างอัตโนมัติ

logo robot brain

ป้องกันรถพ่วงไถลอย่างอัตโนมัติ

เป็นที่ทราบกันดีว่าอุบัติเหตุที่เกิดจากรถพ่วงและรถกึ่งพ่วง มักจะรุนแรง และสร้างความสู2010-09-14 04ญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น การที่รถพ่วง และรถกึ่งพ่วงมีขนาดใหญ่จึงต้องใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องมือพิเศษในการกู้ภัย และเสียเวลานานในการกู้ภัยส่งผลให้การจราจรติดขัด ทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษกิจอย่างยิ่ง สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจึงได้ทำการศึกษาสาเหตุทางเทคนิค เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยของเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างอัตโนมัติ จนกระทั่งนำองค์ความรู้ดังกล่าวมาออกแบบระบบหุ่นยนต์เพื่อใช้ประโยชน์จากสภาวะดังกล่าวมาควบคุมการลื่น (Drift Motion) ของรถนั่งบุคคลเพื่อความแม่นยำของทิศทางและความปลอดภัย

สำหรับในทางทฤษฏีนั้น ได้มีการศึกษารถพ่วงและรถกึ่งพ่วงเพื่อหาว่าตัวแปรใดที่เป็นมูลเหตุสำคัญที่ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากความไม่เสถียรของตัวรถ เช่น การหักพับ(jackknifing) และการสะบัด (snaking) เพื่อหามาตราการป้องกัน ในปี ค.ศ.1963 Jindra จัดเป็นกลุ่มแรกที่ได้ศึกษาความเสถียรของรถกึ่งพ่วงโดยใช้หุ่นจำลองแบบเชิง เส้น กลุ่มที่สองนำโดย Mikulcik (ปี ค.ศ. 1971) ใช้ทฤษฎีของ Lyapunov แบบที่หนึ่ง และในกลุ่มที่สาม คือกลุ่มของ Olusola และ Linkins (ปี ค.ศ. 1975) และกลุ่มของ Khan (ปี ค.ศ. 1992) ใช้ทฤษฎีของ Lyapunov แบบที่สอง Lyapunov ทั้งสองแบบนักศึกษาวิศวกรรมควบคุมจะรู้จักกันดี ผมขอโทษท่านผู้อ่านครับที่ไม่มีโอกาสขยายความ

2010-09-14 05

โดยปกติขอบเขต (domain) ของความเสถียรที่พบโดยทางทฤษฎีที่ได้ศึกษากันมา มักจะเล็กกว่า ผลจากการใช้วิธีการทางตัวเลขคำนวณสมการการเคลื่อนที่ และหาขอบเขตของความเสถียรโดยวิธีการแทนค่าตัวแปรต่าง ๆ Kahn (ปี ค.ศ. 1992) ได้ศึกษาการเปลี่ยนเลนของรถพ่วงโดยเทคนิคทางการคำนวณเปรียบเทียบกับการทดลอง พบว่ารถพ่วงที่มี draw bar แบบมาตราฐาน มีตัวแปรที่แย่กว่า เช่น ต้องการระยะความกว้างในการเปลี่ยนเลนมากกว่าเพราะท้ายมีการสะบัดไปมา ต้องการมุมลื่นไถลมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับแบบ Central axle trailer ซึ่งมีลักษณะเดียวกับตัวท้ายของรถกึ่งพ่วง (semi trailer)

การพลิกคว่ำ (Rollover) เป็นปรากฏการณ์ความไม่เสถียรทางพลวัตอีกแบบซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด อุบัติเหตุ มีการศึกษาความเสถียรจากพื้นเอียง (tilt-table) โดย Winkler (ปี ค.ศ. 1992) ส่วน George (ปี ค.ศ. 1992) ซึ่งได้ศึกษาการพลิกคว่ำเช่นกันพบว่า สาเหตุประการหนึ่งของการพลิกคว่ำเกิดจากห้องขับขี่มีระบบกันสะเทือน จึงทำให้ผู้ขับขี่ไม่ทราบถึงสถานะของตัวรถโดยแท้จริงว่าถึงขอบเขตของการพลิก คว่ำ (0.35g – g คือความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก) หรือไม่? ได้มีการค้นพบว่าภายใน 1 ปีของรถกึ่งพ่วงแต่ละคันจะขับขี่เข้าถึง 20% ของโอกาสที่จะเกิดการพลิกคว่ำ(ความเร่งด้านข้างมีค่าอยู่ระหว่าง 0.28-0.35g)ประมาณ 100 ครั้ง

2010-09-14 06

ฟีโบ้มีขอบเขตการศึกษาเพื่อประเมินความปลอดภัยในการขับขี่รถบรรทุกทั้งสองประเภท จะพิจารณาจากการขับขี่ในกรณีดังต่อไปนี้

การเลี้ยวโค้งที่ความเร็วคงที่ (ISO Committee Recommendation)
การเปลี่ยนเลนกว้าง 3 เมตร ในระยะทาง 70 เมตร
การกระจายแรงเบรกที่ให้ผลดีที่สุดในการเบรก

สมมติฐานของการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของรถ จะพิจารณาจากการเคลื่อนที่ของรถในระนาบของถนนเท่านั้น ไม่มีการพิจารณาการถ่ายเทมวลของรถ หรือ ถือว่ามวลของตัวรถอยู่ในระดับเดียวกับแรงกระทำด้านข้าง และพิจารณาว่าทุกชิ้นส่วนของตัวรถ เช่น ยาง ระบบกันกระเทือน ไม่มีการยืดหยุ่น ถึงแม้หุ่นจำลองดังกล่าวจะเป็นสมมติฐานที่มีขีดจำกัด แต่ก็สามารถที่จะพิจารณาเป็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบระหว่างรถพ่วง และรถกึ่งพ่วง ว่าคำตอบที่ได้จากการคำนวณสมการของการเคลื่อนที่ตามรูปแบบที่กำหนดมีขอบเขต ของความเสถียรในการขับขี่ต่างกันอย่างไร ส่วนการพิจารณาผลของความเร่งด้านข้างที่มีผลต่อการพลิกคว่ำ (rollover) จะพิจารณาขอบเขตของการพลิกคว่ำที่ 0.35g ซึ่งเป็นค่าที่ใช้พิจารณาสำหรับรถบรรทุกทั่วไป

การศึกษานี้ ใช้กรรมวิธีทางตัวเลขคำนวณหาคำตอบในการเคลื่อนที่ของรถบรรทุก โดยใช้ตัวแปรทางกายภาพที่เหมือนกัน เช่นโค้งที่มีรัศมีเท่ากัน การเปี่ยนเลนในระยะทางที่เท่ากัน เว้นแต่การบังคับเลี้ยวเพื่อให้รถทั้งสองแบบอยู่ในสภาพเดียวกัน จะต้องการตัวแปรเช่น มุมเลี้ยวที่ต่างกัน จำเป็นต้องเปลี่ยนค่าตัวแปรต่าง ๆ ของการบังคับเลี้ยวจนได้รัศมีความโค้งหรือ ระยะเปลี่ยนเลน เท่ากัน และหาความเร็วสูงสุดซึ่งเป็นขอบเขตของการขับที่เสถียร โดยพิจารณาจากรูปแบบการตอบสนองของรถลากและรถพ่วง โดยใช้ขอบเขตของการพลิกคว่ำ 0.35g เป็นหลักเช่นกัน

เนื่องจากเงื่อนไขของการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ยังคงมีข้อจำกัด ด้วยสภาพขอบเขตของการตรวจสอบ (verify) ผลของสมมติฐานทางคณิตศาสตร์ ดังนั้นการนำค่าตัวแปรที่ได้จากการวิเคราะห์หุ่นจำลองทางคณิตศาสตร์ เช่น ค่าความเร็ว หรือ ค่าความเร่ง มาบ่งชี้โดยตรงว่าจะทำให้เกิดความไม่เสถียรจึงอาจคลาดเคลื่อนกับสภาพความ เป็นจริง อย่างไรก็ตามค่าที่ได้สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการชี้ถึงพฤติกรรมเชิง เปรียบเทียบ ระหว่างรถพ่วงและรถกึ่งพ่วงได้

การศึกษาครั้งนี้ ข้อจำกัดของหุ่นจำลองยังคงมีอยู่โดยเฉพาะอย่ายิ่งที่ยาง ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการตอบสนองทางพลวัตต์ของยานยนต์ทุกกรณี โดยการยืดหยุ่นของโครงสร้างและระบบกันสะเทือนมีความสำคัญในลำดับถัดไป การสร้างหุ่นจำลองของยางเพื่อให้ผลการวิเคราะห์สามารถทำนายได้ใกล้เคียงสภาพ ความเป็นจริงมากที่สุดนั้น ควรจะมีการทำวิจัยสืบเนื่องต่อไป

สำหรับหุ่นจำลองในงานวิจัยนี้ ใช้รูปแบบการจำลองยางเป็นสปริงแบบอ่อน (soft spring) และไม่ยืดหยุ่น มีสมมติฐานให้ศูนย์กลางมวลของรถอยู่ที่ระดับเดียวกับแรงที่กระทำด้านข้าง ซึ่งเกิดจากมุมลื่นไถลของยาง การยืดหยุ่นของระบบกันสะเทือนจะทำให้ค่าขอบเขตของการพลิกคว่ำลดลง (สามารถรวมผลได้โดยพืจารณาว่าขอบเขตการพลิกคว่ำควรจะต่ำลง) ในขณะที่การถ่ายเทโมเมนตัมของรถด้านข้างต้องการมุมลื่นไถลมากขึ้น (ทำให้เกิดการสลับสูงขึ้นที่ความเร็วเดียวกัน) ในกรณีนี้ความเร่งสู่ศูนย์กลางจะขึ้นอยู่กับเส้นทางการวิ่ง และความเร็วเท่านั้น อย่างไรก็ตามหุ่นจำลองที่ใช้ในงานวิจัยนี้ก็สามารถตอบสนองต่อเขื่อนไขที่ เกี่ยวกับความเสถียรของรถทั้งสองประเภท และแสดงถึงพฤติกรรมทางพลวัตต์ซึ่งจำเป็นสำหรับการเปรียบเทียบระหว่างรถพ่วง และรถกึ่งพ่วงได้ดี

การค้นพบที่สำคัญในการศึกษาครั้งนี้อยู่ทีว่า สำหรับ รถพ่วง ในทุกกรณีส่วนต่อพ่วงมีการตอบสนองต่อการขับที่ยากกว่า โดยพิจารณาจากการสะบัดหรือเลื้อย (snaking) ของส่วนต่อพ่วง ตลอดจนมีความซับซ้อนของพฤติกรรมทางพลวัตต์ และส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของรถหัวลากสูงกว่ารถกึ่งพ่วง เมื่อประกอบกับผลจาก อุปกรณ์เชื่อมต่อ และความหลวมของแกนข้อต่อ จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ขับขี่รถพ่วงไม่สามารถรับทราบถึงสภาพที่แท้จริง ของส่วนต่อพ่วงได้ เป็นเหตุให้มีโอกาสเกิดอุบัติภัยสูง การสะบัดที่สูงกว่าของรถพ่วง ก็จะเป็นสาเหตุให้โครงสร้างต่างๆ เช่น รถหัวลากจะได้รับแรงกระแทกบ่อยและรุนแรงกว่ารถลากของรถรถกึ่งพ่วง และมีโอกาสเสียหายสูง จึงต้องทำการตรวจเช็คบ่อยครั้งกว่า นอกจากนั้นก็เป็นสาเหตุให้ต้องการพื้นที่ของถนนสูงกว่าในการบังคับเลี้ยว เช่นในการเปลี่ยนเลน

การพลิกคว่ำของรถพ่วงและรถกึ่งพ่วง เมื่อมองจากการเลี้ยวที่รัศมีความโค้งและความเร็วเท่ากันจะไม่มีความแตกต่าง นอกจากรถพ่วงเกิดอาการสะบัดมากกว่ารถกึ่งพ่วง ดังนั้นผู้ขับขี่จึงต้องอาศัยความชำนาญสูง การติดอุปกรณ์สำหรับเตือนภัยผู้ขับเมื่อความไม่เสถียรของส่วนต่อพ่วงสูงเกิน ขีดจำกัดจะช่วยป้องกันอันตรายได้
ผลของการวิเคราะห์ระบบเบรกก็ให้ข้อสรุปได้ในทำนองเดียวกันคือ การกระจายของแรงเบรกของรถพ่วงมีความซับซ้อนมากกว่า และการเลือกออกแบบระบบในทางปฏิบัติจะมีข้อจำกัดสูง ซึ่งจะทำให้ขอบเขตของพิกัดการบรรทุกน้อยกว่ารถกึ่งพ่วงเพื่อหลีกเลี่ยง การหักพับ หรือ การสะบัด การติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อตาย (Anti-skid Braking System – ABS) จะช่วยเสริมการป้องกันให้กับระบบเบรก

สรุปได้ว่าในทุกกรณีของการขับขี่ที่ทำการตรวจสอบวิเคราะห์สมรรถนะทางกลของหุ่นจำลอง รถพ่วงจะมีความซับซ้อนและอาจเกิดอันตรายสูงกว่ารถกึ่งพ่วง

ท่านผู้อ่านสามารถส่งข้อคิดเห็น/เสนอแนะมาที่ผู้เขียนที่ djitt@fibo.kmutt.ac.th

Categories: Post from Dr.Jiit